ความไม่รู้ 2 เรื่องที่ควรแยกแยะให้เป็น เพื่อเริ่มต้นความร่ำรวย
ทุกวันนี้ เวลาที่เลื่อนอ่านข่าวสารในอินเตอร์เน็ต มักจะพบหัวข้อข่าวที่กล่าวว่า ปัจจุบันผู้คนมีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จบมาทำงานแล้ว ส่วนใหญ่มักจะมีหนี้สินพัวพันอยู่พอสมควร ไม่ค่อยมีเงินเก็บหรือสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า เนื่องจากคนรุ่นเก่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาสักระยะหนึ่ง ได้ผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง จะรู้ว่าเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้นอกจากตัวของเราเองและเงินเก็บที่มี ในขณะที่คนรุ่นใหม่ ๆ ยังไม่เคยพบวิกฤตกับตัวเอง จึงจับจ่ายใช้เงินไปกับสิ่งที่ตอบสนองความสุขของตนเองเสียส่วนใหญ่ จนลืมที่จะเก็บออมเงินไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน พี่แดงคิดว่า หากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเงินของตนเองให้มั่งมีมากขึ้น ขั้นแรกเราต้องจำกัดความไม่รู้บางเรื่องออกก่อน ซึ่งความไม่รู้ 2 เรื่องแรกที่ควรต้องแยกแยะเป็น คือ
- ไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายใดเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
- ไม่รู้ว่าการลงทุนที่แท้จริงเป็นอย่างไรและไม่ลงทุนใด ๆ โดยไม่มีความรู้
ไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายใดเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
หากต้องการเป็นคนร่ำรวย สิ่งแรกที่ต้องฝึกฝนก่อนเลย คือ การแยกแยะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นออกจากค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยปกติพื้นฐานของมนุษย์นั้น สิ่งที่จำเป็นพื้นฐานเลย ก็คือ ปัจจัย 4 นั่นคือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค แต่ปัจจุบันยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกหลายอย่างด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน เช่น บ้านอยู่ไกลเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะไม่สะดวก รถยนต์ก็จะเป็นสิ่งจำเป็น หรือทำธุรกิจผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ดังนั้น โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงก็จะเป็นสิ่งจำเป็นนั่นเอง
วิธีการง่าย ๆ ในการระบุว่า ค่าใช้จ่ายใดเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น
เพราะค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้ว คือ ค่าใช้จ่ายเพื่อความสะดวกสบายในชีวิต เช่น ค่าโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ค่าเสื้อผ้าแฟชั่นสวย ๆ เครื่องประดับเก๋ ๆ ค่าท่องเที่ยว ค่า Netflix ค่าอาหารที่ทานนอกบ้าน ซึ่งเราอาจมองข้ามไป เพราะเห็นว่าเป็นเพียงค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่หากค่าใช้จ่ายเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ รวมกันเข้าก็เป็นค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นที่มากมายอยู่เหมือนกันโดยที่เราคาดไม่ถึงเลยก็ได้
ยกตัวอย่าง เช่น นัดไปเที่ยวกับเพือนทุกวันสุดสัปดาห์ สมมุติ ไปเที่ยวแต่ละครั้งหมดเงินไป 2,500 บาท เดือนหนึ่งก็เป็นเงิน 10,000 บาท หากคิดเป็นปีก็ตกปีละ 120,000 บาทเลยทีเดียว หรือกรณีดื่มกาแฟทุกวันก็เช่นเดียวกัน สมมุติว่า กาแฟแก้วละ 70 บาท หากดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 ปี เท่ากับว่าเงินหายไป 25,000 บาทเลยทีเดียว
หากเรานำค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันไปลงทุนแล้วได้รับดอกเบี้ยทบต้นเหมือนในบทความที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไป 20-30 ปี เราจะมีเงินเก็บที่ได้จากการลงทุนเป็นตัวเลข 7 หลักอย่างแน่อน ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ว่า ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่จำเป็นคืออะไรบ้าง และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่นั้น เราจึงจำเป็นต้องมีการจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายเงิน แม้ว่าจะเป็นเงินก้อนเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม บางครั้งเราอาจตกใจกับยอดรวมทั้งหมดของมันก็ได้
วิธีการง่าย ๆ ในการระบุว่า ค่าใช้จ่ายใดเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น
- ค่าใช้จ่ายที่ใช้สำหรับช่วยในการประกอบอาชีพ
- ค่าใช้จ่ายที่เมื่อไม่ชำระแล้วจะถูกตัดสิทธิ์ ทำให้ชีวิตไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
- ค่าใช้จ่ายที่คาดเดาได้ ส่วนใหญ่มักเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
- ค่าใช้จ่ายที่คาดเดาไม่ได้ มักเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
เพราะค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้ว คือ ค่าใช้จ่ายเพื่อความสะดวกสบายในชีวิต เช่น ค่าโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ค่าเสื้อผ้าแฟชั่นสวย ๆ เครื่องประดับเก๋ ๆ ค่าท่องเที่ยว ค่า Netflix ค่าอาหารที่ทานนอกบ้าน ซึ่งเราอาจมองข้ามไป เพราะเห็นว่าเป็นเพียงค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่หากค่าใช้จ่ายเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ รวมกันเข้าก็เป็นค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นที่มากมายอยู่เหมือนกันโดยที่เราคาดไม่ถึงเลยก็ได้
ยกตัวอย่าง เช่น นัดไปเที่ยวกับเพือนทุกวันสุดสัปดาห์ สมมุติ ไปเที่ยวแต่ละครั้งหมดเงินไป 2,500 บาท เดือนหนึ่งก็เป็นเงิน 10,000 บาท หากคิดเป็นปีก็ตกปีละ 120,000 บาทเลยทีเดียว หรือกรณีดื่มกาแฟทุกวันก็เช่นเดียวกัน สมมุติว่า กาแฟแก้วละ 70 บาท หากดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 ปี เท่ากับว่าเงินหายไป 25,000 บาทเลยทีเดียว
หากเรานำค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันไปลงทุนแล้วได้รับดอกเบี้ยทบต้นเหมือนในบทความที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไป 20-30 ปี เราจะมีเงินเก็บที่ได้จากการลงทุนเป็นตัวเลข 7 หลักอย่างแน่อน ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ว่า ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่จำเป็นคืออะไรบ้าง และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่นั้น เราจึงจำเป็นต้องมีการจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายเงิน แม้ว่าจะเป็นเงินก้อนเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม บางครั้งเราอาจตกใจกับยอดรวมทั้งหมดของมันก็ได้
ไม่รู้ว่าการลงทุนที่แท้จริงเป็นอย่างไรและไม่ลงทุนใด ๆ โดยไม่มีความรู้
การลงทุนด้วยความไม่รู้หรือไม่มีความรู้ในสิ่งที่ลงทุน ทุกวันนี้ต่างก็รู้กันดีว่า อยากรวยก็ต้องลงทุน จึงมักมีคนเข้ามาชักชวนให้เราไปลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งการลงทุนมาพร้อมกับความเสี่ยง ไม่มีการลงทุนใดที่ได้รับผลตอบแทนสูง ๆ โดยที่ไม่มีความเสี่ยงเลย High Risk High Return บางคนลงทุนโดยไม่มีความรุ้ นอกจากจะสูญเสียเงินลงทุนที่มีแล้ว แถมยังมีหนี้สินติดตัวเพิ่มขึ้นด้วยก็มี ดังนั้น เราจึงควรลงทุนในสิ่งที่รู้จริงเท่านั้น อย่าลงทุนเพียงแค่เชื่อจากคำบอกเล่าของคนอื่น เราจะเข้าไปลงทุนในสิ่งใด เราจำเป็นต้องเรียนรู้ให้รู้จักมันอย่างแท้จริงก่อนเสมอว่า เขานำเงินของเราไปลงทุนทำอะไร ความเสี่ยงจากการลงทุนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่เงินลงทุนก้อนนั้นจะไม่สูญหายไปการลงทุนแปลก ๆ มีให้เห็นมากมาย เช่น การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนแน่นอน ฝาก 1,000 บาท ได้รับดอกเบี้ย 500 บาท หรือแชร์ลูกโซ่ ซึ่งจริง ๆ คนที่ลงทุนส่วนใหญ่จะรู้ว่าเป็นการหลอกลวง แต่ก็คิดว่า ขอรับกำไรช่วงแรกก่อนและน่าจะออกมาทัน สุดท้ายก็ไม่ทันกลายเป็นหนึ่งในผู้เสียหายไป เป็นต้น ซึ่งการลงทุนแบบนี้เราไม่เรียกว่าเป็นการลงทุน
แชร์ลูกโซ่กับการลงทุนจริง ๆ ต่างกันแค่ว่า มีสินค้าจริงไหม มีธุรกิจหรือบริการที่เกิดขึ้นจริงไหม มีแหล่งที่มาของรายได้แท้จริง ไม่ได้เกิดจากการนำเงินลงทุนของลูกค้าคนใหม่เวียนมาจ่ายให้กับลูกค้าคนเก่าเป็นทอด ๆ โดยที่ไม่มีตัวสินค้าหรือบริการเกิดขึ้นจริง ๆ
โลกของการลงทุนไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะเรียนรู้ได้ การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง เราจึงต้องวิเคราะห์และพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบว่าเขานำเงินไปทำอะไร เขาน่าเชื่อถือหรือไม่ เขาสร้างธุรกิจจริงหรือไม่ แล้วเงินลงทุนก้อนนั้นจะกลับมาที่เราได้อย่างไร ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
0 ความคิดเห็น