Banner_Head

Banner_Post

วิธีคำนวณหาความมั่งคั่งสุทธิของตัวเองแบบง่าย ๆ เพื่อรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินเป็นอย่างไร

วิธีคำนวณหาความมั่งคั่งสุทธิของตัวเองแบบง่าย ๆ เพื่อรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินเป็นอย่างไร


วิธีคำนวณหาความมั่งคั่งสุทธิของตัวเองแบบง่าย ๆ เพื่อรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินเป็นอย่างไร


     จากบทความก่อนหน้านี้ ในเรื่องของการปรับความคิด ปรับ Mindset ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเงินว่า เราควรมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องเงินเป็นอย่างไร จัดสรรการเงินเป็นสัดส่วนอย่างไรแบบง่าย ๆ กันมาบ้างแล้ว แต่พี่แดงเชื่อว่า มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนไม่ชอบเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขหรือการคำนวณ แค่เห็นว่าเป็นตัวเลขต้องมาบวกลบให้ถูกต้อง ทั้งสองฝั่งต้องได้เท่ากัน แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว คนลักษณะนี้น่าจะมีอยู่จำนวนหนึ่งไม่มากก็น้อย

     การบริหารเงินให้มั่งคั่งนั้น นอกจากเรื่องแรกที่เราต้องมี คือ Mindset ทางการเงินที่ถูกต้องแล้ว เรื่องต่อมา คือ การมีเป้าหมายและต้องมีแผนการที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างชัดเจนอีกด้วย ซึ่งก่อนที่เรามาจะเริ่มต้นวางแผน เราต้องรู้ว่า สถานการณ์การเงินปัจจุบันของเราอยู่ ณ จุดใดก่อน

     หลักการง่าย ๆ ในการเช็คสถานะทางการเงินปัจจุบัน คือ ให้เราหาความมั่งคั่งสุทธิของตัวเองออกมาก่อน ด้วยการหาตัวเลขตามนี้ครับ
  • ทรัพย์สิน - ทรัพย์สินที่เรามีทั้งหมดในปัจจุบัน
  • หนี้สิน - หนี้สินที่เรามีภาระผูกพัน ต้องชำระทั้งในปัจจุบันและอนาคต
     ทรัพย์สินปลอดภาระ หมายถึง บ้าน รถยนต์หรือสิ่งของมีค่าอื่น ๆ ที่เป็นของเราแล้วจริง ๆ ไม่ต้องผ่อนต่อใด ๆ แล้ว เงินสดหรือเงินฝากธนาคาร เป็นต้น


วิธีคำนวณหาความมั่งคั่งสุทธิของตัวเองแบบง่าย ๆ เพื่อรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินเป็นอย่างไร


     นำตัวเลขที่รวบรวมมาทั้งหมด มาหักลบกัน เพื่อดูว่าสถานการณ์ทางการเงินของตัวเราในปัจจุบันอยู่ในแดนบวกหรือแดนลบ หากบวกก็แสดงว่า เรามีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน หากอยู่ในแดนลบ แสดงว่า เรามีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ซึ่งต้องแก้ไขโดยด่วนนั่นเอง

     การประเมินทรัพย์สินว่าเรามีอยู่เท่าไรนั้น ให้คิดคำนวณจากราคาประเมิน ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาที่เราซื้อมาตอนแรก ยกตัวอย่าง เช่น 
  • เงินสดและบัญชีเงินฝากธนาคาร 100,000 บาท
  • บ้าน มูลค่าปัจจุบันประมาณ 4,000,000 บาท
  • รถยนต์ มูลค่าปัจจุบันประมาณ 800,000 บาท
  • เครื่องประดับ มูลค่าปัจจุบันประมาณ 200,000 บาท
  • กระเป๋า ของใช้แบรนด์เนม มูลค่าปัจจุบันประมาณ 100,000 บาท
  • ทรัพย์สินอื่น ๆ ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที ประมาณ 50,000 บาท

     ถึงแม้ว่า เราซื้อบ้านมา 1 หลัง ราคาตอนที่ตกลงซื้ออยู่ที่ 3 ล้านบาท แต่ปัจจุบันราคาขายในบริเวณใกล้เคียงนี้อยู่ที่ 4 ล้านบาท การบันทึก เราจะบันทึกว่า เรามีทรัพย์สินอยู่ 4 ล้านบาท คิดเป็นราคาประมาณ ณ เวลาปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับกรณีซื้อรถยนต์ ตอนที่เราซื้อมาราคารถยนต์อยู่ที่ 1.2 ล้านบาท แต่ราคาขาย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 800,000 บาท เราจึงบันทึกราคารถยนต์เป็นทรัพย์สินที่มูลค่า 800,000 บาท นั่นเอง


วิธีคำนวณหาความมั่งคั่งสุทธิของตัวเองแบบง่าย ๆ เพื่อรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินเป็นอย่างไร


     หลังจากที่คิดรายการสินทรัพย์ออกมาได้ทั้งหมดแล้ว คราวนี้ก็มาดูในส่วนของหนี้สินว่า สินทรัพย์แต่ละรายการที่เรานึกออกข้างต้น มีรายการใดบ้างที่ยังมีภาระผูกพันอยู่ โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ หนี้ที่เป็นกันได้ง่ายมาก ๆ ตัวหนึ่งเลย คือ หนี้บัตรเครดิต ต้องห้ามลืมเด็ดขาดว่า เรามีทั้งหมดกี่ใบ รวมหนี้ทุกบัตรแล้ว ยอดรวมหนี้เป็นเท่าไหร่ (กรณีนี้ หมายถึง ยอดรวมมูลหนี้ทั้งหมดทุกบัตรที่มีรวมกัน ไม่ใช่หนี้ขั้นต่ำที่ต้องชำระต่อเดือนนะครับ) ยกตัวอย่าง เช่น
  • หนี้ค่าบ้านคงเหลือ 2,000,000 บาท
  • หนี้ค่ารถยนต์คงเหลือ 500,000 บาท
  • หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 100,000 บาท
  • หนี้บัตรเครดิตทุกใบ 50,000 บาท

     เมื่อเราได้ตัวเลขทั้งทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดมาแล้ว ให้นำมาหักลบกัน หากตัวเลขในส่วนของฝั่งทรัพย์สินมากกว่า ถือได้ว่าเรามีความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวก มีโอกาสที่จะร่ำรวยเพิ่มมากขึ้นในอนาคตได้ไม่ยาก บางคนอาจมองข้ามจุดนี้ไป เนื่องจากต้องการเพิ่มทรัพย์สินให้เยอะ ๆ ด้วยการซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ซื้อทรัพย์สินอื่น ๆ โดยลืมคิดว่า ทรัพย์สินเหล่านั้น เราซื้อมาด้วยเงินสดหรือมีหนี้สินพ่วงท้ายมาด้วย พอนำมาแจกแจงเป็นรายการแบบนี้ จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการงบดุลทางบัญชีง่าย ๆ หลักการเดียวกันกับการทำงบดุลของบริษัทจำกัดนั่นเอง


วิธีคำนวณหาความมั่งคั่งสุทธิของตัวเองแบบง่าย ๆ เพื่อรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินเป็นอย่างไร


     ซึ่งการทำงบดุลก็เพื่อที่จะได้รู้สถานะทางการเงินของเรา ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยส่วนใหญ่บริษัทก็จะทำงบดุลกันประมาณสิ้นปี เพื่อจะได้รู้สถานการณ์ของบริษัทปีนี้เทียบกับปีก่อนหน้า และการทำงบดุลจะทำควบคู่กับงบกำไรขาดทุน

     งบกำไรขาดทุน กล่าวง่าย ๆ เลยก็คือ บัญชีรายรับ-รายจ่ายนั่นเอง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งบัญชีที่เราจำเป็นต้องมีการจดบันทึก เพื่อให้รู้ตัวเองว่า ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีที่ผ่านไป หากเรามีรายรับมากกว่ารายจ่าย หักลบกันแล้วได้ผลลัพธ์เป็นบวก นั่นก็คือ เราใช้จ่ายไปน้อยกว่ารายได้ที่เราหามาได้นั่นเอง เราก็จะมีเงินเก็บ มีเงินออมเหลือ เมื่อสรุปตัวเลขออกมา ก็จะเห็นว่า เรามีทรัพย์สินมากขึ้นจากบัญชีงบดุลของเรา (เงินสดและเงินฝากธนาคารเพิ่มขึ้น) หากเปรียบเทียบว่าเป็นบริษัท ก็คือ มีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นนั่นเอง ยิ่งวันเวลาผ่านไปทุกวัน เราก็ยิ่งสะสมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นทุกวัน

     ความมั่งคั่งร่ำรวยเริ่มต้นจากการที่บัญชีเราไม่ติดลบก่อน 

     เมื่อเห็นตัวเลขที่สรุปออกมาจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และบัญชีงบดุลแล้ว เราก็ต้องวางแผนชีวิตและวางแผนการเงินของตัวเองให้ลดหนี้สินลง และเพิ่มรายรับให้มากขึ้น หากเราไม่ได้ทำการบันทึกบัญชีเอาไว้เลย เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า รายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน มีรายการใดบ้างที่เราสามารถลดได้ เพราะบางครั้ง เราอาจจะเสียเงินซื้อสินค้าหรือบริการบางอย่างเป็นประจำจนเคยชิน จนเราไม่รู้ว่า เป็นค่าใช้จ่ายที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์มูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น ค่ากาแฟ ค่าขนมขบเคี้ยวเล่น เป็นต้น

     ลองคิดดูว่า หากการเงินของเราติดลบทุกเดือนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วจบปี เราก็มีแต่แย่ลง ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลยเมื่อเทียบกับอดีต หากเป็นบริษัท ไม่นานก็ต้องล้มละลาย แต่ถ้าเป็นชีวิตของเราก็นับได้ว่าเป็นชีวิตที่ล้มเหลว ไม่มีอนาคตอย่างแน่นอน ดังนั้น ทำอย่างไรก็ได้ ให้บัญชีรายรับของเรามากกว่ารายจ่ายอยู่เสมอ ถ้าพบเจอปัญหาที่ทำให้บัญชีติดลบ เราต้องรีบดำเนินการแก้ไขทันที ไม่นานเกินรอ เราก็จะมีงบดุลการเงินที่เป็นบวกและร่ำรวยขึ้นต่อไปครับ


สนใจเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นและ TFEX

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น

Banner_Post2