Mindset Trader 7 ข้อ เป็นเทรดเดอร์ทำไมยิ่งเทรดยิ่งยาก ช่วงแรกได้กำไร ช่วงหลังขาดทุน

     เคยสงสัยกันไหมครับว่า เหตุใดตอนที่เราเป็นเทรดเดอร์ใหม่ ๆ เรารู้สึกว่ามันเทรดง่ายจัง เปิดออเดอร์ไม่ทันไรก็ได้เงินแล้ว แต่พอเทรดไปนาน ๆ กลับยากขึ้นเรื่อย ๆ เทรดผิดทางบ่อยมากขึ้น เทรดเสียเงินบ่อยมากขึ้น พี่แดงเชื่อว่า เทรดเดอร์ทุกคนที่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ต้องเคยมีอารมณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

     ในช่วงแรก ๆ ของการเป็นเทรดเดอร์นั้น เราไม่รู้อะไรเลย เปรียบเสมือนแก้วเปล่าที่ยังไม่เติมน้ำ เราจึงตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝน มีความคาดหวังในผลกำไรต่ำ เทรดผิดทางหรือเสียหายไปบ้าง ก็ยังรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นเรื่องปกติของคนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้ ถ้าเทรดแล้วได้กำไรมาก ก็จะรู้สึกว่าทุกอย่างมันง่ายไปหมด ซึ่งเหตุผล 7 ข้อ ที่ทำให้เทรดเดอร์มีความรู้สึกว่ายิ่งเทรดยิ่งยาก คือ 

     1.ใช้เครื่องมือเยอะเกินไป เมื่อเทรดเดอร์มีความรู้มากขึ้น รู้จักเครื่องมือมากขึ้น ก็อยากจะใช้เครื่องมือที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะได้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด แต่เมื่อใช้เครื่องมือมากเกินไป จนทำให้รู้สึกสับสน ไม่กล้าที่จะเปิดออเดอร์ เนื่องจากเครื่องมือคัดค้านกันเอง ผิดกับตอนที่เป็นเทรดเดอร์ใหม่ ๆ ในช่วงแรก ไม่ได้ใช้เครื่องมือใด ๆ เห็นกราฟขึ้นก็เปิด Buy เห็นกราฟลงก็เปิด Sell แล้วก็ได้กำไรแบบไม่ต้องคิดเยอะ จึงรู้สึกว่าทุกอย่างในช่วงแรกนั้นง่ายนั่นเอง

     2.หาระบบเทรดที่ตนเองชอบไม่เจอ การที่พี่แดงสอนเครื่องมือต่าง ๆ ไม่ได้หมายความว่า ต้องนำเครื่องมือที่สอนไปใช้ทุกตัว แต่ให้เราทดลองใช้งานแล้วเลือกตัวที่ถูกจริตกับตัวเองไปใช้เพียงแค่ 1-2 ตัวก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนเยอะมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เราสับสน 

     อีกเรื่องหนึ่ง การที่เราไปเรียนรู้จากการเข้าอบรม คอร์สสัมมนาต่าง ๆ ผู้สอนได้ตกผลึกทางความคิดในระบบเทรดของตนเองแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า ระบบเทรดนั้น จะสามารถใช้ได้กับเทรดเดอร์ทุกคน เพราะเทรดเดอร์แต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน มีปัจจัยอีกหลาย ๆ อย่างที่ไม่เหมือนกัน

     3.เงินทุนที่มากขึ้นความกดดันก็มากขึ้น ในช่วงเริ่มต้นของเทรดเดอร์แทบทุกคน พี่แดงเชื่อว่าก็คงเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินทุนที่ไม่มากนัก เพื่อทดลองดูก่อนว่าตนเองเหมาะสมที่จะเป็นเทรดเดอร์หรือไม่ ตามข้อแรกที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ช่วงที่ลงทุนเทรดในช่วงแรกนั้น มักจะได้กำไร เพราะเราไม่ต้องคิดอะไรมาก เมื่อได้กำไรแล้ว จึงเพิ่มเงินทุนขึ้นไปอีก เมื่อจำนวนเงินลงทุนที่มากขึ้น ความกดดันในการเปิดออเดอร์ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้เทรดเดอร์ต้องคิดให้รอบคอบและละเอียด ก่อนที่จะเปิดออเดอร์ทุกครั้ง ความเครียดก็เลยมากขึ้น รู้สึกว่าการเทรดมันยากขึ้น

     นอกจากนั้น ยังมีในเรื่องของเงินลงทุนที่เป็นเงินร้อนหรือเงินเย็นอีกด้วย คนที่ใช้เงินลงทุนในการเทรดเป็นเงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจะยิ่งมีความเครียดสะสมสูงกว่าคนที่ใช้เงินเย็น ๆ มาเทรด ไม่เดือดร้อนหากต้องสูญเสียเงินก้อนนั้นไป เป็นต้น

     4.เปิดออเดอร์ใหญ่ขึ้น ระยะเผื่อผิดพลาดน้อยลง เป็นเรื่องของความโลภล้วน ๆ เมื่อเทรดไปได้สักระยะหนึ่งจะเกิดความมั่นใจมากขึ้น รู้สึกว่าเราจะมัวชักช้าเสียเวลาทำไม จึงเปิดออเดอร์ใหญ่ขึ้น เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่มากขึ้นโดยใช้เวลาที่น้อยลง จึงเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น รู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่ยืดหยุ่นเหมือนอดีต

     5.มองใน Timeframe ที่เล็กลง ต้องการเล่นรอบบ่อยขึ้น การเทรดใน Timeframe ที่เล็กลง ถึงแม้จะมีรอบเกิดขึ้นบ่อยกว่า แต่ความเสถียรของกราฟก็น้อยกว่า Timeframe ใหญ่ รูปแบบแพทเทิร์นกราฟต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยแม่นเหมือนที่เราเทรดใน Timeframe ใหญ่ เช่น Timeframe day เป็นต้น กราฟตรงกับรูปแบบที่เรียนรุ้มา แต่เกิดการสะบัดหรือเหวี่ยงตัว โดน Stop Loss ได้ง่ายและบ่อยกว่า ทำให้ไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ ทำให้เรารู้สึกว่าเทรดได้ยากขึ้น

     6.คิดว่าเปิดออเดอร์ แล้วต้องได้กำไรทุกครั้ง พอเริ่มจริงจังกับการเทรดก็มักจะตั้งเป้าหมายว่า ต้องได้กำไรทุกวัน ไม่เหมือนกับการเข้ามาเทรดในช่วงแรก ที่ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนที่ชัดเจน  เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็เลยทำให้เกิดความคาดหวังที่เพิ่มขึ้น โฟกัสที่มากขึ้นนั่นเอง

     7.เคยชินกับการเทรดในรูปแบบเดิม ๆ คิดว่าตนเองรู้หมดแล้ว จึงไม่ฝึกฝน ไม่เรียนรู้ ไม่เกาะติดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น ในช่วงแรกกราฟเป็นเทรนด์และระบบเทรดของเราเป็นรูปแบบของการเทรดตามเทรนด์อยู่แล้ว จึงได้กำไรตลอดและคิดว่าเทรดง่ายจัง แต่พอกราฟเริ่มเปลี่ยนเป็นวิ่งแบบ Sideway ระบบของเรายังคงเป็นแบบเทรดตามเทรนด์ จึงเกิดความผิดพลาดต่อเนื่อง จนเสียความมั่นใจและคิดว่าการเทรดมันยากนั่นเอง