สอนเทรดเบื้องต้น แนวรับแนวต้าน 4 รูปแบบ เส้นเทรนด์ไลน์ Fibonacci จุดกลับตัวและรายใหญ่

     เทรดเดอร์บางท่านอาจเคยสงสัยว่า ทำไมเวลาเปิดออเดอร์ Buy กราฟกลับวิ่งลง หรือเวลาเปิดออเดอร์ Sell กราฟกลับพุ่งขึ้นทิ่มตาเสียอย่างนั้น เทรดเดอร์มือใหม่อาจจะไม่รู้เรื่องของแนวรับ-แนวต้าน ซึ่งหากรู้แนวคิดเบื้องต้นเรื่องนี้ จะทำให้รู้ว่า จุดที่เราเปิดออเดอร์นั้น อาจเป็นจุดเฝ้าระวังหรือจุดควรลังเลในการตัดสินใจก็เป็นได้ พี่แดงเชื่อว่าคลิปและบทความนี้ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์น้องใหม่อย่างแน่นอนครับ

     การที่เราคำเปิดคำสั่งซื้อหรือขาย แล้วกราฟไปคนละทิศทางกับที่เราคาดหวังไว้ ไม่ใช่เพราะว่ามีเจ้าหน้าที่คอยดูเราอยู่หรอกนะครับ แต่เป็นเพราะเราตัดสินใจในจุดเดียวกับที่คนอื่น ๆ เขาพิจารณาเช่นเดียวกัน ซึ่งแนวรับ-แนวต้านที่พี่แดงให้แนวคิดนี้ เป็นแนวรับแนวต้านที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้งานกัน หากเรารู้ว่าเป็นจุดลังเล อย่างน้อย ๆ เรารอให้สัญญาณคอนเฟิร์มผ่านจุดลังเลนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย

แนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ 4 รูปแบบ

     1.แนวรับแนวต้านจากการตีเส้นเทรนด์ไลน์ การตีเส้นเทรนด์ไลน์ง่าย ๆ คือ การลากเส้นจุดต่ำสุดจุดแรกไปยังจุดต่ำสุดจุดที่ 2 จะเกิดเส้นขึ้นมา ซึ่งเส้นที่เกิดขึ้นนี้ เทรดเดอร์จะใช้เป็นมุมมองของแนวรับ-แนวต้านสำคัญ หากกราฟราคาสามารถผ่านเส้นเหล่านี้ไปได้ แสดงว่ามีแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางนั่นเอง ซึ่งการตีเทรนด์ไลน์นั้น ให้เทรดเดอร์ 10 คนมาตีก็จะได้ทั้งหมด 10 รูปแบบที่ไม่เหมือนกัน เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองในการเฝ้าสังเกตของแต่เทรดเดอร์แต่ละท่าน

     เทรดเดอร์บางท่านเลี่ยงการตีเส้นเทรนด์ไลน์ เปลี่ยนไปใช้อินดิเคเตอร์แทนก็มี เช่น ใช้อินดิเคเตอร์ Standard Deviation แทนก็ได้เหมือนกัน เป็นการตีเส้นอัตโนมัติ มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและสร้างเป็น Channel ขึ้นมา ทำให้เราเห็นได้ง่ายขึ้น

     2.แนวรับแนวต้านจาก Fibonacci เป็นแนวรับแนวต้านในเชิงจิตวิทยา ตามทฤษฎีของ Fibonacci เมื่อกราฟวิ่งขึ้นไปจนกระทั่งถึงจุดกลับตัว จะเกิดการพักตัวของราคา แต่เราจะคาดคะเนได้ว่ากราฟจะพักตัวที่จุดใด ส่วนใหญ่เทรดเดอร์จึงมักใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Fibonacci ในการวัดหาระยะว่ากราฟจะย่อลงถึงตำแหน่งใด เพื่อที่เราจะได้เข้าซื้อหรือทำการขายที่จุดนั้น

     3.แนวรับแนวต้านตามจุดกลับตัวต่าง ๆ ตอนที่เรามองแนวจุดกลับตัว พยายามอย่ามองเป็นเส้น ให้มองเป็นแนวแถบกว้าง ๆ เพื่อจะได้ไม่เล็งมากจนเกินไป เช่น หากจุดกลับตัวที่ผ่านมาเป็นรูปโดจิ อย่าไปเล็งที่จุดปลายโดจิ แต่ให้เล็งเป็นแถบหางของโดจินั้นทั้งหมดแทน

     สาเหตุที่จุดกลับตัวก่อนหน้ากลายเป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญได้ เนื่องจากหากกราฟกำลังลงแล้วจู่ ๆ กลับดีดขึ้นมา จะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่ามันขึ้นไปแป๊บเดียวเดี๋ยวคงลงมาอีก จึงเปิดคำสั่ง Sell และมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่ง มองว่านี่น่าจะจุดต่ำสุดแล้ว จึงเปิดคำสั่ง Buy ที่จุดนั้นจำนวนมาก จึงเป็นจุดหนาแน่นของคำสั่งซื้อขาย หากกราฟวิ่งไปแล้วย้อนกลับมาที่จุดนี้อีกครั้ง ก็จะเจอกลุ่มคนที่ติดออเดอร์ค้างเอาไว้มากมายที่ต้องการจะปลดออเดอร์นั้นออก จึงกลายเป็นแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญนั่นเอง

     4.แนวรับแนวต้านของนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งฟังดูเหมือนยาก แต่จริง ๆ แล้วง่ายมาก นั่นคือ แนวรับแนวต้านที่เป็นเลขกลม ๆ เช่น 1,000 หรือ 500 เป็นต้น เพราะนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันมักจะไม่สนใจตัวเลขยิบ ๆ ย่อย ๆ แต่จะตั้งคำสั่งต่าง ๆ เป็นตัวเลขกลม ๆ เสียมากกว่า เพื่อความสะดวกในการติดตาม ดังนั้น เมื่อกราฟมาถึงจุดที่มีตัวเลขเป็นหน่วยกลม ๆ ให้เราเฝ้าระวังเอาไว้ทุกครั้ง

     แนวทางการดูแนวรับ-แนวต้านทั้ง 4 รูปแบบที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ตรงกับแนวทางของเทรดเดอร์สายกราฟเปล่า แต่เราสามารถใช้อินดิเคเตอร์เป็นเครื่องมือ ช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้นได้ ดังนั้น ในมุมมองของพี่แดง ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์สายเทรดกราฟเปล่าหรือใช้อินดิเคเตอร์ช่วยเทรดก็ตาม พี่แดงมองว่าไม่แตกต่างกัน เพียงแต่อินดิเคเตอร์ช่วยร่นระยะเวลาในการพิจารณาให้กับเทรดเดอร์ได้นั่นเองครับ

     ในช่วงสุดท้ายของคลิป พี่แดงสรุปแนวความคิดและมุมมองเกี่ยวกับเหรียญดิจิตอลในมุมของพี่แดง ลองติดตามรับฟังดูนะครับ