มือใหม่ต้องรู้! เทคนิค RSI ที่ใคร ๆ ก็เทรดได้
อีกหนึ่งอินดิเคเตอร์ที่อยู่ในหมวดหมู่ของ Oscillators และใช้งานกันอย่างแพร่หลาย นั่นก็คือ RSI (Relative Strength Index) นั่นเอง โดยในคลิปนี้พี่แดงจะมาแชร์ไอเดีย "4 วิธีใช้ RSI ให้ได้เงิน" ซึ่งเทรดเดอร์หลายท่านอาจใช้ RSI เพียงแค่ดูว่าซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปเพียงเท่านั้น แต่ยังมีวิธีการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นไปอีก ติดตามรับชมกันได้เลยครับ
1. การเทรดแบบ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป)
-
หลักการพื้นฐาน: RSI มีระดับการคำนวณตั้งแต่ 0 ถึง 100
- Overbought: หาก RSI สูงเกิน 70 แสดงว่ามีการซื้อมากเกินไป เหมาะสมที่จะขาย (พร้อมที่จะลง).
- Oversold: หาก RSI ต่ำกว่า 30 แสดงว่ามีการขายมากเกินไป เหมาะสมที่จะซื้อ.
- ข้อควรระวัง: วิธีนี้เป็นการ เทรดสวนเทรน ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนได้. ดังนั้น ต้องตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง.
- การปรับค่า RSI: ค่ามาตรฐานทั่วไปของ RSI คือ 14 ซึ่งเหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่เทรดตลอด 24 ชั่วโมง หรือ 7 วัน เช่น Forex หรือ Bitcoin. แต่สำหรับ หุ้นไทย ซึ่งมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ แนะนำให้ใช้ค่า 20 เนื่องจากสามารถช่วยกรองสัญญาณที่ผิดพลาดออกไปได้มากกว่า.
- การใช้เส้นกลาง: สามารถประยุกต์ใช้เหมือนกับ CCI คือ หาก RSI ผ่านเส้นกลางขึ้นไป ให้มองแต่ทิศทาง ขาขึ้น หากผ่านเส้นกลางลงมา ให้มองแต่ทิศทาง ขาลง.
|
| เปิดบัญชี บล.บียอนด์ เทรดด้วย TraidngView ได้ |
2. การใช้ RSI ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ของตัว RSI เอง
- เครื่องมือที่ใช้: วิธีนี้มีให้ใช้ใน Trading View และ Steaming แต่ไม่มีใน MT5.
- หลักการ: เป็นการเพิ่มเส้นค่าเฉลี่ย (เช่น SMA) เข้าไปในกราฟ RSI โดยตรง ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยของ RSI ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยของราคากราฟ. ค่ามาตรฐานที่ให้มาคือ SMA 14.
-
จังหวะการเทรด:
- หาก RSI ตัดเส้น SMA ลงมา แสดงว่าให้มองทิศทาง ขาลง จุดเข้าซื้อที่ดี (เปิด short/sell) คือเมื่อ RSI ดีดกลับมาสัมผัสเส้น SMA และเด้งลงไปต่อ.
- หาก SMA เริ่มเงยหัวขึ้น (ทิศทางขาขึ้น) ให้มองทิศทาง ขาขึ้น จุดเข้าซื้อคือเมื่อ RSI มาใกล้เส้นและโผล่ขึ้นไปใหม่.
- การปรับค่า: แนะนำ ค่า 20 สำหรับสินทรัพย์ไทย (เช่น TFEX หรือหุ้น) อย่าลืมตั้ง Stop Loss ด้วยเนื่องจากกราฟมีความผันผวน.
3. การลาก Trendline บนกราฟ RSI
- หลักการ: เนื่องจาก RSI เป็น Oscillator ที่วัดการแกว่งตัว จึงสามารถนำ Trendline มาลากบนกราฟ RSI เพื่อวัดระดับการแกว่งตัวได้.
- การลาก Trendline ที่ดี: แม้ว่าหลายคนจะใช้แค่ 2 จุดสัมผัส แต่ Trendline ที่ดีควรมีจุดสัมผัสมากที่สุด และเพื่อความแม่นยำ ควรมีจุดสัมผัสอย่างน้อย 3 จุด.
- การตีความ: หาก RSI ตัดเส้น Trendline ที่ลากไว้ (ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง) แสดงว่ามีแนวโน้มที่ทิศทางเทรนจะเปลี่ยนไป.
4. การใช้ Divergence (การขัดแย้งกันของกราฟ)
- เครื่องมือที่ใช้: วิธีนี้มี เฉพาะใน Trading View และไม่มีใน Steaming.
- หลักการ: Divergence คือ สถานการณ์ที่ราคาของกราฟเคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง แต่กราฟอินดิเคเตอร์ (เช่น RSI, CCI, MACD) เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม (สวนทางกัน) หรือเป็นแนวระนาบ ซึ่งบ่งบอกถึงการอ่อนแรงของโมเมนตัม.
- วิธีการเปิดใช้งาน: เข้าไปที่ตั้งค่า RSI -> Input -> ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ "Calculate Divergence".
-
ประเภทของ Divergence (ตามการคำนวณอัตโนมัติ):
- Bearish Divergence (Bear): ยอดคลื่นของ ราคากราฟสูงขึ้น แต่ยอดคลื่นของ RSI กลับลดลง. บ่งชี้ว่า มีแนวโน้มที่จะลง.
- Bullish Divergence (Bull): ยอดคลื่นของ ราคากราฟลดต่ำลง แต่ยอดคลื่นของ RSI กลับสูงขึ้น. บ่งชี้ว่า มีแนวโน้มที่จะขึ้น.
- ข้อควรระวัง: การเกิด Divergence บ่งบอกถึง แนวโน้ม ที่จะเปลี่ยนทิศทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาจะขึ้นหรือลงทันที. เทรดเดอร์ควรใช้เครื่องมือและทักษะอื่นๆ เช่น Trendline ประกอบการพิจารณาด้วย.
|
| เปิดบัญชี บล.พาย เทรด MT4 / MT5 ได้ |



0 ความคิดเห็น