ราคาหุ้นขยับขึ้นลงได้อย่างไร
แท้จริงแล้วราคาหุ้นเคลื่อนไหวได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ ว่าราคาของหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นนั้นสะท้อนข้อมูลอะไรบ้าง
ยกตัวอย่าง อดีตเมื่อครั้งสมัยเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการแข่งขันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และฮิลลารี คลินตัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีนโยบายทางการเมืองที่แตกต่างกัน โดยโพลสำรวจพบว่าฮิลลารีมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชนะ ทำให้ดัชนีหุ้นของอเมริกาวิ่งขึ้นมาโดยตลอด แต่ในระหว่างการนับคะแนนเสียงนั้น ผลคะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์กลับสูสีและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ดัชนีหุ้นของสหรัฐฯ ณ เวลานั้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการประกาศผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ค่าเงินเปโซของประเทศเม็กซิโกก็มีความผันผวนไม่แพ้กัน เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์มีนโยบายว่า หากตนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะทำการสร้างกำแพงปิดกั้นระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโก ทำให้ในช่วงการนับคะแนน แค่คะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์เพิ่มขึ้น ค่าเงินเปโซถึงกับอ่อนค่าลงอย่างหนัก เพราะเกรงว่าหากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีจะทำให้ประเทศเม็กซิโกถูกสร้างกำแพงกั้น ผิดกับช่วงแรกที่โพลคะแนนเสียงออกมาว่าฮิลลรีน่าจะเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ช่วงนั้นค่าเงินเปโซกับพุ่งสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็น
จะสังเกตเห็นว่าทั้งค่าเงินเปโซและตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสหรัฐฯ ต่างมีการขยับตัวอยู่ในช่วงข่าว ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีการประกาศผลการเลือกตั้งออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม
นั่นหมายความว่า การคาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตถึงแม้เหตุการณ์เหล่านั้นจะยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม ล้วนมีผลต่อราคาหุ้น ราคาดัชนีหรือแม้กระทั่งอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินต่าง ๆ โอกาสที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจ ล้วนทำให้เกิดความคาดหวังทั้งสิ้น เรียกว่า Priced in คือ ราคา ณ เวลานั้นได้รวมกับความคาดหวังล่วงหน้าเข้าไปด้วยแล้วนั่นเอง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการคาดหวังว่าราคาจะขึ้นไป หากมีเหตุการณ์ที่คาดหวังล่วงหน้าเกิดขึ้นนั่นเอง
เช่นเดียวกับราคาหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นที่ขยับขึ้นลง ต้องบอกเลยว่าราคาของหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
ยกตัวอย่าง เช่น อาคารแห่งหนึ่งมีมูลค่า 100 ล้านบาท หากต้องการขายในอีก 10 ปีข้างหน้าจะขายได้ในราคาเท่าไหร่
ราคาของอาคารแห่งนี้ในอนาคตจะสามารถรู้ได้ ก็ต่อเมื่อ ผู้ซื้อหรือนักลงทุนมองว่า อาคารแห่งนี้สามารถต่อยอดหรือเติบโตได้อีกหรือไม่ในอนาคต เช่น สามารถพัฒนาอาคารแห่งนี้ได้จนสร้างผลตอบแทนได้ถึง 1,000 ล้านบาท นักลงทุนก็ยอมซื้อ แต่หากประเมินดูแล้ว พบว่าอาคารแห่งนี้อยู่ในจุดบอด ไม่สามารถที่จะพัฒนาต่อได้อีก ต่อให้ลดราคาลงเหลือ 10 ล้านบาท นักลงทุนก็ไม่ต้องการซื้อ นั่นคือ มูลค่าของอาคารที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตนั่นเอง สิ่งที่ซื้อไม่ใช่ราคาของวัสดุก่อสร้าง แต่เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดมูลค่าในอนาคตมากกว่า
หรืออีกกรณีหนึ่ง เช่น มีอาคารรูปทรงโรมันประกาศขายในราคา 10 ล้านบาท แต่ผู้ที่จะซื้อมองว่ารูปทรงออกจะโบราณ ต่อให้ซื้อมาก็ต้องทุบทิ้งเพื่อสร้างใหม่อยู่ดี เขาจึงตีราคาให้เพียงแค่ 5 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนอีกท่านหนึ่ง เห็นอาคารรูปทรงโรมันแล้วรู้สึกว่าหากซื้อไปบูรณะให้ดีอีกสักนิด สามารถสร้างเป็นโรงแรมที่ดูดีจนกระทั่งเป็น landmark ของจังหวัดได้ เขาอาจจะยอมซื้ออาคารโรมันแห่งนี้ที่ราคา 50 ล้านบาทก็เป็นได้
สรุปได้ว่า นักลงทุนจะประเมินราคาในวันนี้ว่าจะซื้อที่ราคาเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะสร้างรายได้จากสิ่งนั้นในอนาคต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับในอดีตว่าสิ่งนั้นมีต้นทุนอยู่ที่เท่าไหร่ หรือเรียกว่า Expectation บนกระแสเงินสดที่คิดว่าจะได้รับในอนาคต ซื้อแล้วในวันนี้จะได้อะไรกลับมาในอนาคต
ดังนั้น มูลค่าของหลักทรัพย์ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน โดยตัวกำหนดราคาหลักทรัพย์นั้นเกิดจาก
1. ปริมาณกระแสเงินสดหรือรายรับที่คาดว่าจะได้รับ
2. ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่รับได้
เนื่องจากคนทั่วไปไม่ชอบความเสี่ยง หากหุ้นที่ซื้อนั้นมีความผันผวนสูง คาดหวังผลตอบแทนได้ยาก นักลงทุนก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเสี่ยง จึงให้มูลค่าของหุ้นตัวนั้นไม่สูงมากนัก ในขณะที่หุ้นอีกตัวหนึ่งให้ผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอทุกปีและยังมีความผันผวนต่ำ ทำให้นักลงทุนกล้าที่จะซื้อหุ้นโดยคาดหวังอนาคตในราคาที่สูงขึ้น
แต่การประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม ไม่สามารถประเมินแล้วคงอยู่ถาวร เพราะหากมีเหตุการณ์ใดมากระทบ ทำให้เกิดความคาดหวังเปลี่ยนแปลงไปได้ในอนาคต ราคาหุ้นก็จะผันผวน อาจมีราคาสูงขึ้นหรือราคาลดต่ำลงก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตจากการคาดคะเน ในแต่ละช่วงเวลา
เสน่ห์ของการลงทุน คือ เราไม่สามารถรู้ได้ 100% ว่า ราคาหุ้นในวันนี้ได้สะท้อน Expectation แบบใด เพราะเป็นการลงทุนของคนหลาย ๆ คน ซึ่งความคาดหวังของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น ราคาของหลักทรัพย์จึงขึ้นลงจากความคาดหวังของแต่ละคน
แม้ว่าจะเป็นบริษัทเดียวกัน แต่มีนักลงทุน 2 ท่าน มองต่างมุมกัน โดยนักลงทุนท่านแรกไม่ชอบความเสี่ยงก็จะประเมินมูลค่าหลักทรัพย์นั้นต่ำกว่านักลงทุนอีกท่านหนึ่งที่เป็นคนชอบความเสี่ยง เป็นต้น เพราะความคาดหวังของทั้งสองท่านไม่เหมือนกัน
เปรียบเสมือนการกระโดดบันจี้จัมป์ หากตอนนี้เราอายุ 40 ปี มีคนจ้างเราให้กระโดดบัญชีจัมป์ลงมาด้วยราคา 1 ล้านบาท เรายังอาจต้องตัดสินใจอีกครั้งว่า คุ้มกับความเสี่ยงที่จะกระโดดหรือไม่ ในขณะที่ถ้าเราไปถามเด็กอายุ 15-16 ปี บอกว่าให้กระโดดบันจี้จัมป์แลกกับเงินจำนวนเท่าไหร่ ดีไม่ดีเด็กเหล่านั้นอาจจะบอกว่า อยากโดนฟรี ๆ ด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องจ้างก็ได้ ดังนั้นความเสี่ยงที่รับได้จะขึ้นอยู่กับช่วงวัยและประสบการณ์ที่ผ่านมาของนักลงทุนแต่ละท่านอีกด้วย
จากการศึกษาจากนักวิชาการพบว่า ราคาหุ้นหรือราคาหลักทรัพย์มักจะผันผวนเกินจริง พุ่งสูงเกินจริงและตกลงมาเกินจริงบ่อยครั้ง หากเราเข้าใจว่าราคาหุ้นเกิดขึ้นได้จาก 2 ประเด็น คือ ความคาดหวังจากรายได้ในอนาคต และการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละคน นั่นหมายความว่า บางครั้งความคาดหวังจากรายได้ในอนาคตไม่เปลี่ยนแปลงเลย แต่ความกลัวของนักลงทุนต่างหากที่เปลี่ยนไป ราคาหุ้นที่ลงมาจึงเกิดจากความกลัวของนักลงทุนล้วน ๆ ซึ่งหากท่านใดมองเห็นจังหวะแพนิคแบบนี้ ก็อาจเป็นโอกาสในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีได้
0 ความคิดเห็น