เปรียบเทียบการเทรดหุ้น Forex TFEX และ DW สินค้าตัวใดต้องเทรดให้แม่นยำมากกว่ากัน

     จากการที่พี่แดงได้เทรดทั้งหุ้น, Forex, TFEX และ DW คลิปและบทความนี้ พี่แดงจะมาเปรียบเทียบให้ดูถึงความแตกต่างว่า สินค้าที่กล่าวมาข้างต้น เทรดยากหรือง่ายอย่างไร และการเทรดสินค้าใดที่ต้องใช้ทักษะความแม่นยำมากกว่ากัน

     ในช่วงต้นของคลิป พี่แดงแจ้งเรื่องการปรับเปลี่ยนอัตรา Margin ลดลง เนื่องจากผลกระทบของโควิดเริ่มลดลงนั่นเอง รวมถึงอธิบาย Initial Margin(IM) คืออะไร Maintenance Margin(MM) คืออะไร ทบทวนให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง

     ต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่า พี่แดงมีประสบการณ์จากการเทรด Forex มาระยะเวลาหลายปี รวมทั้งหุ้น แต่ยังเป็นเทรดเดอร์มือใหม่สำหรับสินค้า TFEX และ DW จึงขอสรุปตามแนวความคิดของตัวเองออกมาเป็นดังนี้

     หุ้น - เป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ทักษะความแม่นยำต่ำสุดในบรรดาที่กล่าวมา พูดในมุมของการเทรดแบบเทคนิคอล เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวช้าและไม่มีการใช้อัตราทด (Leverage) สินค้าที่เทรดเป็นสินทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าของตัวมันเองและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น หากต้องการเทรดง่ายและมีโอกาสได้กำไรให้เราเทรดที่ Timeframe ใหญ่ เช่น Timeframe Day ไปเลย 

     เมื่อมอง Timeframe ใหญ่ จะสังเกตเห็นว่า หุ้นจะขยับเป็นเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือเทรนด์ขาลงก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเทรนด์ไประยะหนึ่งยาว ๆ เมื่อจบเทรนด์ก็จะเป็นไซด์เวย์ หมายความว่า หากเราเจอจุดเปลี่ยนจาก Sideway เป็น Trend เราสามารถถือหุ้นได้ยาวและได้กำไรมาก หากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี เป็นบริษัทใหญ่ โอกาสล้มยาก หากเราซื้อหุ้นผิดจังหวะ เรายังสามารถที่จะถัวเฉลี่ยต้นทุนได้ แล้วรอคอยวันที่หุ้นขึ้นได้ โดยที่ไม่มีเรื่องของเวลามากำหนด

     TFEX - เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จำเป็นจะต้องมีความแม่นยำในด้านเทคนิคอลมากกว่าการซื้อหุ้น เนื่องจากเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จึงมีวันหมดอายุหรือวันส่งมอบสินค้า และที่สำคัญ เป็นสินค้าที่มี Leverage โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20 เท่า 

     สินค้าที่พี่แดงเทรด คือ TFEX S50 ซึ่งอ้างอิงจากดัชนี SET50 นั่นก็คือ หุ้น 50 อันดับแรกที่มีผลต่อตลาดหุ้นประเทศไทย หมายความว่า โอกาสที่เวลาเกิดเทรนด์ก็มักจะเป็นเทรนด์ยาว ๆ เช่นเดียวกับหุ้น แต่สาเหตุที่ TFEX ต้องใช้ทักษะความแม่นยำมากกว่าหุ้น เพราะสินค้ามี Leverage และมีวันหมดอายุนั่นเอง แต่ในเรื่องของการมองทิศทาง ยังคงมองไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น คือสินค้าที่เมื่อเกิดเทรนด์แล้ว มักจะมีระยะเวลาเป็นเทรนด์ที่ยาวนาน

     DW - เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ความแม่นยำในการเทรดสูงมาก ๆ เนื่องจากมีอัตราทดที่สูงเมื่อเทียบกับหุ้นแม่ สามารถซื้อขึ้นก็ได้ ซื้อลงก็ได้ มีความซับซ้อนในการเลือกซื้อสินค้าอยู่พอสมควร มีตัวเลือกมาก และยังมีค่าเสื่อมตามเวลาหรือ Time Decay อีกด้วย 

     หากเป็นหุ้น เมื่อเทรดผิดทางเราสามารถรอคอยได้ ตราบใดที่บริษัทยังไม่เจ๊งไปเสียก่อน หากเป็น TFEX เราก็สามารถรอได้เช่นกัน ตราบใดที่ยังไม่หมดอายุของสัญญา ซึ่งอายุสัญญาของ TFEX ขึ้นอยู่กับซีรีส์ที่เราทำการซื้อขาย อาจเป็น 3 เดือนข้างหน้าหรือ 6 เดือนข้างหน้า เป็นต้น แต่ถ้าเป็น DW ต่อให้เราซื้อถูกทาง แต่กราฟราคายังไม่ขยับไปในทิศทางที่เราคาดการณ์ไว้ในเวลานั้น เราจะถูกด้อยค่าลงไปในทุก ๆ วันที่เราถือออเดอร์ ดังนั้น การเทรด DW นอกจากจะต้องแม่นในทิศทางแล้ว กราฟยังจะต้องขยับทันทีอีกด้วย จึงจะได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

     แต่ DW ก็ยังมีข้อดีในตัวของมันเอง คือ หากเราเทรดผิดทาง จะไม่ถูกเรียกให้เติมเงินเพิ่ม จะหมดเพียงแค่จำนวนเงินที่เราวางสำหรับเทรดเท่านั้น แต่แนะนำว่า ต่อให้ถือผิดทางก็ไม่ควรถือจนกระทั่งหมดเวลา เพราะถ้าถือจนหมดเวลาจะมีภาระเรื่องของเสียภาษีตามมาด้วยครับ

     Forex - เป็นสินค้าที่มีความผันผวนมากที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงมากที่สุด แต่กลับเป็นสินค้าที่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีที่สุดต่างหาก เพราะความต่อเนื่องของกราฟราคาและแพลตฟอร์มที่เอื้ออำนวยต่อการเทรดนั่นเอง 

     เป็นสินค้าที่มีเลเวอเรจให้เลือกสูง จึงถูกดึง Margin น้อยถึงน้อยมาก ๆ ดังนั้น เมื่อเราเปิดผิดทาง เราสามารถถัวเฉลี่ยหรือแก้ออเดอร์ได้ง่ายกว่า (ในกรณีที่ไม่ได้โอเวอร์เทรด) สินค้า Forex หากถือออเดอร์ข้ามคืนจะมีค่า SWAP เกิดขึ้น แต่ต่อให้ถือข้ามไปเป็นเดือน ค่า SWAP ที่เกิดขึ้นก็ยังน้อยกว่าค่า Time Decay ของ DW อยู่ดี 

     กราฟ Forex มีความต่อเนื่อง ไม่กระโดด และเป็นสินค้า CFD เมื่อกราฟมาถึงราคาที่เรากำหนด สภาพคล่องสูงมาก จึงสามารถจับคู่ได้หมดทุกสัญญา และสเกลความละเอียดในการเทรด สามารถทำได้ยิบย่อยถึงขั้น 0.01 ในขณะที่ TFEX ซื้อได้ขั้นต่ำที่ 1 สัญญา และไม่สามารถซื้อ 1.5 สัญญาได้ สุดท้ายแล้ว สินค้า Forex สามารถเทรดได้แทบทุกกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์สามารถนึกขึ้นได้เลยทีเดียวครับ