สอนเทรดเบื้องต้น : การดูแนวรับ-แนวต้านง่าย ๆ 4 รูปแบบ แนวโน้มกราฟกลับตัว วิธีลาก Fibonacci
การใช้งานอินดิเคเตอร์ หากเราเลือกใช้ไม่เหมาะสม อาจทำให้จังหวะในการเข้าออเดอร์ช้าเกินไป เช่น ใช้อินดิเคเตอร์ EMA เพื่อคาดหวังว่าจะเข้าได้ในจุดกลับตัว ซึ่งกว่าจะได้เข้าออเดอร์ก็อาจจะช้าเกินไป เป็นต้น จึงมีคำถามจากเพื่อนเทรดเดอร์บอกว่า การเทรดด้วยแนวรับ แนวต้านน่าจะเข้าได้เร็วกว่า บทความและคลิปนี้ พี่แดงจึงนำความรู้เรื่องแนวรับ-แนวต้านมาแบ่งปันกันครับ
1.จุดสูงสุด-จุดต่ำสุดของคลื่นที่ผ่านมา ในกรณีนี้ เราอาจจะใช้เส้นแนวนอนในการลาก เพื่อดูว่าจุดสูงสุด-จุดต่ำสุดของลูกคลื่นที่ผ่านมาอยู่ตรงไหน จุดนั้นจึงเป็นแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ หรือแนวที่เราต้องเฝ้าระวังนั่นเอง หากกราฟสามารถปิดจบแท่งเทียนและผ่านเส้นแนวนอนไปได้ แสดงว่ามีแนวโน้มที่จะไปต่อ
2.เส้นแนวโน้ม Trendline หรือทฤษฎีดาว คือ มีจุดต่ำสุดยกสูงขึ้นและมีจุดสูงสุดยกสูงขึ้น แสดงว่าเป็นแนวโน้มทิศทางขาขึ้น หรือเราสามารถที่จะลากเส้นเทรนไลน์ ด้วยการลากเส้นจากจุดต่ำสุดหนึ่งไปหาจุดต่ำสุดอีกจุดหนึ่ง ต่อเส้นยาวออกไป หากกราฟย้อนกลับมาจนถึงเส้นเทรนด์ไลน์เส้นนี้ ก็มีโอกาสที่จะเด้งไปในทิศทางเดิมอีก หรือหากผ่านเส้นเทรนด์ไลน์นี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนทิศทางนั่นเอง
3.แนวรับ-แนวต้านที่เคลื่อนที่ในแนวระนาบ หากดูใน Timeframe ใหญ่ มักจะไม่ค่อยเห็นแนวระนาบ แต่หากเทรดใน Timeframe เล็กลงมา เช่น 5 นาที หรือ 15 นาที เราจะเห็นว่า มีบางช่วงที่กราฟเคลื่อนที่เป็นแนวระนาบ เป็นจุดที่ไม่มีแรงซื้อขายที่รุนแรง หากกราฟสามารถวิ่งฝ่าแนวระนาบไปได้ ก็แสดงว่าเกิดเทรนด์แล้วนั่นเอง หรือที่เรียกกันว่าเทรดแนว Breakout นั่นเอง
4.แนวรับ-แนวต้านด้วยสัดส่วน Fibonacci เป็นแนวรับ-แนวต้านในเชิงจิตวิทยา ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือในการวาดเพื่อให้เห็นแนวรับ-แนวต้านเบื้องต้นได้ เครื่องมือใดก็ตามที่มีการใช้งานเป็นจำนวนมากจะทำให้เกิดความแม่นยำสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการใช้ Fibonacci ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีเทรดเดอร์ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย จึงทำให้เมื่อกราฟเคลื่อนที่มาถึงแนวเปอร์เซ็นต่าง ๆ ของ Fibonacci จึงเกิดการพักตัวหรือจุดลังเลเกิดขึ้น
0 ความคิดเห็น