Banner_Head

Banner_Post

ทำไมเทรดเดอร์ 90% ถึงล้มเหลว? คำตอบอยู่ที่นี่!

 


ทำไมเทรดเดอร์ 90% ถึงล้มเหลว? คำตอบอยู่ที่นี่!

          5 ขั้นตอนสำคัญที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทำกันเป็นประจำ ซึ่งแตกต่างจากเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ที่มักจะล้มเหลวและออกจากตลาดไปกว่า 90% สาเหตุหลักของความล้มเหลวนี้ไม่ใช่เพราะขาดอินดิเคเตอร์ที่วิเศษ แต่เป็นเพราะการใช้ อารมณ์นำหน้าการเทรด เช่น ไม่กล้าคัตลอสหรือการหัวร้อนอยากเอาคืนเมื่อขาดทุน


  1. การวางแผนก่อนเทรด (Plan Before Trading)

    • ความสำคัญ: เทรดเดอร์มืออาชีพจะไม่เปิดกราฟแล้วถามตัวเองว่าจะเทรดอะไรดี แต่จะเตรียมตัวล่วงหน้า 1-2 ชั่วโมง การไม่วางแผนเหมือนการกระโดดลงสนามรบโดยไม่รู้อะไรเลย
    • สิ่งที่ต้องทำ:
      • ตรวจสอบภาพรวมตลาดและข่าวสาร: ดูปฏิทินข่าวเศรษฐกิจ (economic calendar) เพื่อรู้ว่ามีประกาศสำคัญอะไรบ้าง เช่น อัตราเงินเฟ้อ, ดอกเบี้ย, การจ่ายปันผล เพราะข่าวเหล่านี้มีพลังในการลากตลาด ทำให้สามารถวางแผนหลีกเลี่ยงหรือใช้เป็นโอกาสทำกำไรได้
      • วิเคราะห์กราฟเทคนิคภาพใหญ่: ใช้ Time Frame Day หรือ Week เพื่อหาทิศทางหลักของตลาด ตีแนวรับ แนวต้าน กำหนดโซน และสร้างแผนการเทรดสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ให้เสร็จก่อนตลาดเปิด
      • เตรียมสภาพจิตใจ: เทรดเดอร์บางคนนั่งสมาธิสั้นๆ หรือทบทวนเป้าหมาย หากวันไหนหงุดหงิด เครียด หรือนอนน้อย อาจตัดสินใจไม่เทรดเลย เพราะรู้ว่าจิตใจที่ไม่พร้อมเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ การเตรียมตัวที่ดีเป็นการได้เปรียบที่ทรงพลังที่สุด ช่วยลดความเสียหายจากการตัดสินใจผิดพลาด
  2. การกำหนดจุดเข้าออกให้ชัดเจน (Define Clear Entry/Exit Points)

    • ปัญหา: เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักเข้าเทรดด้วยความรู้สึก เช่น กลัวตกรถ หรือคิดว่าราคาน่าจะย่อ
    • หัวใจสำคัญ: ต้องตอบ 3 คำถามให้ได้ก่อนเทรด: จะเข้าที่ราคาไหน? จะยอมแพ้ (Stop Loss) ที่ตรงไหนถ้าผิดทาง? และจะเก็บกำไร (Take Profit) ที่จุดไหนถ้าถูกทาง?
    • รายละเอียด:
      • จุดเข้า: กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจน ไม่ใช่ความรู้สึก เช่น เข้าซื้อเมื่อราคาสินค้าปิดเหนือแนวต้านที่กำหนด และมีสัญญาณยืนยันจากอินดิเคเตอร์ ความชัดเจนช่วยลดความลังเลและป้องกันการเทรดแบบมั่วๆ ได้
      • จุดขาดทุน (Stop Loss): เป็นหัวใจของการอยู่รอด ต้องกำหนดจุดยอมแพ้ให้ชัดเจนและตั้งคำสั่งทันทีหลังเปิดออเดอร์ จุด Stop Loss ควรมีหลักการทางเทคนิค เช่น เหนือแนวรับ/แนวต้าน หรือใช้ค่า ATR ช่วยคำนวณ เปรียบเหมือนเบี้ยประกันที่คุ้มครองพอร์ตไม่ให้เสียหายทั้งพอร์ต
      • จุดทำกำไร (Take Profit): ต้องคิดถึงจุดทำกำไรด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ราคาไหลไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดออก การ "ขายหมู" (ทำกำไรน้อยกว่าที่คาด) เป็นเรื่องปกติ และยังคงได้กำไรอยู่ดี


เปิดบัญชีกับ บล. พาย เทรดด้วย MT4/MT5



  1. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

    • ความสำคัญ: หากแผนการเทรด คือ สมอง การบริหารความเสี่ยง คือ หัวใจที่หล่อเลี้ยงให้เรายังอยู่ในเกมได้ เทรดเดอร์ที่เก่งในการวิเคราะห์กราฟก็ยังล้มเหลวได้ หากบริหารความเสี่ยงไม่ดี
    • ปัญหาหลัก: ความโลภนำไปสู่การเทรดเกินตัว (Overtrade) ทำให้ล้างพอร์ตได้ในไม้เดียว
    • กฎเหล็ก: เทรดเดอร์มืออาชีพจะมองหาการเติบโตที่สม่ำเสมอ และใช้ กฎ 1-2% คือ เสี่ยงขาดทุนไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
    • ประโยชน์:
      • ลดความกดดัน: หากรู้ว่าเสียเงินเพียงเล็กน้อย จะลดความกลัวและความเครียด ทำให้กล้าทำตามแผนมากขึ้น
      • สร้างวินัย: กฎนี้จะบังคับให้เราคำนวณขนาดออเดอร์ให้เหมาะสมและเชื่อมโยงกับการตั้ง Stop Loss
      • โฟกัสที่กระบวนการ: ทำให้เราหันมาสนใจการทำตามระบบให้ดีที่สุดในระยะยาว แทนที่จะลุ้นผลแต่ละออเดอร์ เพราะการคุมความเสี่ยงได้ หมายถึง ยังมีโอกาสแก้ตัวและมีทุนเหลืออยู่เสมอ
    • เป้าหมายแรกของการเทรด: ไม่ใช่การทำกำไร แต่เป็นการรักษาเงินต้นเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ผู้ชนะ คือ ผู้ที่อยู่รอดในตลาดได้นานที่สุด
  2. การจัดการอารมณ์ระหว่างเทรด (Manage Emotions During Trading)

    • ความท้าทาย: แม้มีแผนที่ดีเยี่ยม แต่สิ่งที่ยากที่สุด คือ การจัดการอารมณ์ของตนเอง อารมณ์ที่เข้ามารบกวนคือ ความโลภและความกลัว
    • สถานการณ์:
      • เมื่อกราฟผิดทาง: ความกลัวจะกระซิบให้คัตลอส หรือเลื่อน Stop Loss หนี ซึ่งการเลื่อน Stop Loss คือ การทำลายกฎที่วางไว้และเป็นก้าวแรกสู่หายนะ
      • เมื่อกราฟถูกทาง: ความกลัวก็ยังตามมาในรูปแบบของการเร่งปิดกำไร กลัวว่าราคาจะย่อกลับมาเท่าทุน
      • เมื่อราคาวิ่งถึงเป้า: ความโลภจะเข้ามาแทนที่ บอกว่าอย่าเพิ่งปิด เพราะมันจะไปต่อได้อีก สุดท้ายอาจทำให้ราคาพลิกกลับมาชน Stop Loss
    • วิธีของมืออาชีพ: เชื่อมั่นในระบบและปล่อยให้ระบบทำงาน
      • ตั้งออเดอร์ Stop Loss และ Take Profit ให้เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องเฝ้ากราฟ เพื่อป้องกันอารมณ์ที่ไม่นิ่งและแก้ไขออเดอร์โดยไม่จำเป็น จากนั้นไปทำกิจกรรมอื่น
      • สร้างคำพูดหรือสัญญาณเพื่อหยุดตัวเอง เมื่อรู้สึกอยากออกนอกแผน เช่น ตบขาตัวเองแล้วบอกว่า "นี่มันนอกแผนแล้วนะ คิดดีๆ ก่อนตัดสินใจ"
    • ข้อคิด: ไม่มีระบบเทรดใดถูกต้อง 100% จะมีวันที่ทำตามแผนแล้วพลาด และวันที่แหกกฎแล้วได้กำไร แต่ในระยะยาว การทำตามแผนอย่างมีวินัยเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและยั่งยืนได้ดีที่สุด




  1. การทบทวนหลังการเทรด (Post-Trade Review)

    • ความสำคัญ: สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ การปิดออเดอร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ขั้นตอนสำคัญต่อมา คือ การ จดบันทึกการเทรด (Trading Journal)
    • เหตุผลที่ไม่ค่อยมีคนทำ: มักไม่จดเมื่อเทรดเสียเพราะหัวร้อน หรือเมื่อเทรดได้ก็คิดว่าตัวเองเก่งแล้วไม่ต้องจด
    • ประโยชน์ของ Trading Journal: เปลี่ยนทุกการเทรดให้เป็นระบบ เป็นบันทึกกล่องดำเหมือนนักบิน ช่วยให้ซื่อสัตย์กับตัวเองและเรียนรู้ย้อนหลังได้
    • สิ่งที่ควรบันทึก:
      • ข้อมูลพื้นฐาน: วันที่, เวลา, สินทรัพย์, ขนาดออเดอร์, ราคาเข้า-ออก, จุด Take Profit/Stop Loss ที่ตั้งใจไว้, ผลกำไร/ขาดทุน (เป็นเงินและเปอร์เซ็นต์)
      • แคปหน้าจอ: จุดเข้า-ออก พร้อมทำสัญลักษณ์ เพื่อให้รู้เหตุผลในการเข้าซื้อเมื่อย้อนกลับมาดู
      • เหตุผลในการเปิดออเดอร์: เห็นสัญญาณอะไร ทำไมถึงเข้า ณ จุดนั้น ช่วยให้รู้ว่าบางครั้งอาจเข้าเพราะอารมณ์
      • อารมณ์: บันทึกอารมณ์ก่อนเทรด (มั่นใจ, ลังเล), ระหว่างเทรด (กล้าๆ กลัวๆ, ทำตามแผน 100% หรือเลื่อน Stop Loss หรือไม่)
    • ผลลัพธ์: เมื่อมีข้อมูลเพียงพอและนำมาวิเคราะห์ในช่วงวันหยุด จะเริ่มเห็นรูปแบบที่ซ่อนอยู่ เช่น เสียเงินทุกครั้งที่เทรดสวนเทรนด์ หรือการเทรดด้วยวิธีบางอย่างได้ผลดีกว่าที่คิด
    • ข้อคิด: การวิเคราะห์หลังเทรดไม่ใช่เรื่องสนุก ต้องใช้วินัยและความซื่อสัตย์อย่างสูง แต่หากไม่ทำ ก็เหมือนอยู่ในเขาวงกตที่วิ่งชนกำแพงเดิมซ้ำๆ โดยไม่มีแผนที่

          เส้นทางเทรดเดอร์นั้นไม่ง่าย ต้องอาศัยวินัย ความอดทน และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า แต่หากทำได้ จะทำให้เราพัฒนาขึ้นในทุกๆ วันอย่างแน่นอน


เปิดบัญชีกับ บล.บียอนด์ เทรดด้วย TradingView

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น

Banner_Post2