Banner_Head

Banner_Post

ทำไมกำไรไม่เท่ากัน ทั้งที่เข้าออเดอร์พร้อมกัน!

 



ทำไมกำไรไม่เท่ากัน ทั้งที่เข้าออเดอร์พร้อมกัน!

          เชื่อไหมครับ? เปิดออเดอร์ในจุดเดียวกัน แต่สุดท้ายจบที่กำไรไม่เท่ากันเลยในแต่ละคน สาเหตุใดที่เป็นเช่นนั้น ในคลิปนี้พี่แดงจะมาเล่าให้ฟังครับ และในช่วง "เรื่องเล่าก่อนเข้าเรื่อง" เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นกู้ที่เปิดขายในเดือนนี้และเดือนหน้า เผื่อนักลงทุนท่านใดสนใจลงทุนในแนวทางนี้ครับ

หุ้นกู้ (Corporate Bonds) อีกหนึ่งทางเลือกการลงทุน

การลงทุนใน "หุ้นกู้เอกชน" เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร แต่มีความเสี่ยงไม่สูงเท่าการเทรดหุ้น

  • สถานะของนักลงทุน: การซื้อหุ้นกู้เปรียบเสมือน การที่เราเป็น "เจ้าหนี้" ที่ให้บริษัทกู้ยืมเงิน และจะได้รับผลตอบแทนเป็น "ดอกเบี้ย" 
  • ภาษี: ดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้จะต้องเสียภาษี 15% ซึ่งแตกต่างจากเงินปันผลของหุ้นที่เสียภาษี 10%
  • ความเสี่ยงและผลตอบแทน: ความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้จะวัดจาก "อันดับความน่าเชื่อถือ" (Credit Rating) ยิ่งเรตติ้งสูง (เช่น AA-, A+) หมายถึง บริษัทมีความมั่นคงสูง แต่ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยก็จะต่ำลง ในทางกลับกัน หุ้นกู้ที่เรตติ้งต่ำลง (เช่น BBB) จะให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกลงทุนในหุ้นกู้ที่มีเรตติ้งตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป
  • การซื้อขาย: โดยทั่วไปจะกำหนดการซื้อขั้นต่ำที่ 100,000 บาท และเพิ่มขึ้นทีละ 100,000 บาท สามารถซื้อได้ทั้งในตลาดแรก (คล้ายหุ้น IPO) ผ่านธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ หรือซื้อขายในตลาดรองผ่านเว็บไซต์ Thai BMA และแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น True Money


เปิดบัญชีกับ บล.พาย เทรด MT4/MT5 ได้



ทำไมเข้าจุดเดียวกัน แต่กำไรไม่เท่ากัน?

          แม้จะเรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกันและเข้าซื้อที่จุด A พร้อมกัน แต่จุดขายของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามอารมณ์และความคิด ณ เวลานั้น ๆ

จิตวิทยาของนักลงทุนในแต่ละจุดขาย:

  • จุด B: ขายทันทีที่ราคาย่อตัวลงเล็กน้อย เพราะ กลัวกำไรที่เพิ่งได้มาจะหายไป 
  • จุด C และ D: ขายเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปสูงแล้วย่อตัวลง เพราะกลัวว่าราคาขึ้นมาไกลเกินไปแล้ว หรือ เสียดายกำไรจำนวนมากที่อาจลดลง หากราคาย่อตัวแรง
  • จุด F: ขายเพราะ พอใจในผลกำไรที่ได้รับแล้ว และมองว่าราคาอาจจะย่อตัวแรงในไม่ช้า
  • จุด J: มักเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ทางเทคนิค ซึ่งจะขายเมื่อเห็นสัญญาณว่า แนวโน้มขาขึ้นอาจสิ้นสุดลงแล้ว
  • จุด K: ตั้งขายเมื่อราคากลับมาที่ต้นทุน เพื่อป้องกันการขาดทุน
  • จุด L: คือกลุ่มคนที่ "ติดดอย" เพราะไม่ได้ขายตอนมีกำไร และไม่กล้าขายเมื่อขาดทุน โดยหวังว่าราคาจะกลับขึ้นไป สุดท้ายจึงขาดทุนหนักที่สุด


Package TradingView


6 สาเหตุหลักที่ทำให้จุดขายแตกต่างกัน:

  1. ขนาดของเงินทุนไม่เท่ากัน: คนที่ลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย มักจะกล้าเสี่ยงและทนความผันผวนได้นานกว่าคนที่ลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก ซึ่งจะกังวลกับการลดลงของกำไรมากกว่า
  2. ความ "ร้อน-เย็น" ของเงินทุนไม่เท่ากัน: คนที่ใช้ "เงินเย็น" (เงินที่ไม่มีกำหนดต้องใช้) จะถือหุ้นได้นานกว่าคนท ี่ใช้ "เงินร้อน" (เงินที่มีภาระต้องนำไปใช้ในอนาคต เช่น ค่าเทอมลูก) ซึ่งจะรีบขายเพื่อทำกำไรให้ทันเวลา
  3. ความสามารถในการหาเงินมาเพิ่มไม่เท่ากัน: คนที่มีศักยภาพในการหาเงินมาเติมพอร์ตได้เรื่อย ๆ จะทนการขาดทุนและถือรอได้ดีกว่าคนที่มีเงินลงทุนจำกัด
  4. กรอบเวลา (Time Frame) ที่ใช้ดูไม่เท่ากัน: นักลงทุนที่ดู Time Frame ใหญ่ (เช่น รายสัปดาห์) อาจยังเห็นเป็นแนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่คนที่ดู Time Frame เล็ก (เช่น รายชั่วโมง) อาจเห็นสัญญาณขายแล้ว ทำให้จุดขายต่างกัน
  5. ความกลัวที่จะสูญเสียกำไร (Fear of Losing Profit):  "คนส่วนใหญ่กลัวการสูญเสียกำไรที่ได้มาแล้ว มากกว่าการขาดทุนตั้งแต่แรก" ซึ่งเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาสำคัญที่ทำให้คนรีบขายเมื่อเห็นราคาย่อตัว
  6. ความใส่ใจในการติดตามไม่เท่ากัน: คนที่ซื้อหุ้นแล้วไม่ติดตามหรือไม่ศึกษาเพิ่มเติม มีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นคนกลุ่ม L คือ ติดดอยและไม่ทำอะไรเลยจนขาดทุน


เปิดบัญชีกับ บล.บียอนด์ มี Tradingview ใช้งานฟรี

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น

Banner_Post2