Banner_Head

Banner_Post

เงินเหลือทำอะไรดี? โครงสร้างการเงินแบบเข้าใจง่าย ๆ

 


เงินเหลือทำอะไรดี? โครงสร้างการเงินแบบเข้าใจง่าย ๆ

          วิดีโอนี้ ไม่ได้จะมาแนะนำช่องทางทำเงินอัตราผลตอบแทนสูงแต่อย่างใดนะครับ เป็นเพียงแค่แชร์มุมมองโครงสร้างทางการเงินแบบเข้าใจง่าย ๆ แบบพื้นฐานเท่านั้น พร้อมตัวอย่าง สินค้าทางการเงินที่จ่ายผลตอบแทนในเดือนกันยายน 2568 ว่าได้เท่าไหร่กันบ้าง 

          โดยพี่แดงได้สรุปทางเลือกในการจัดการเงินไว้ 3 รูปแบบหลัก ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน:


1. การฝากเงินธนาคาร (Bank Deposits)

นี่คือกลไกแรกที่เกิดขึ้นโดยมี ธนาคาร เป็นตัวกลาง

  • กระบวนการ: กลุ่มคนที่มีเงินเหลือหรือนักลงทุน นำเงินไปฝากกับธนาคาร ซึ่งธนาคารให้ผลตอบแทนกับผู้ฝาก จากนั้นธนาคารนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินนี้ไป ปล่อยกู้ ให้กับกลุ่มคนที่ต้องการเงิน
  • กำไรของธนาคาร: ธนาคารทำกำไรจากส่วนต่าง (Spread) ระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ (เช่น 7%) กับอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้ผู้ฝาก (เช่น 1%)
  • ผลตอบแทนและความเสี่ยง:
    • ในปัจจุบัน สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่เปลี่ยนไปทำให้เงินฝากธนาคารอาจเหลือผลตอบแทนเพียง 1-2% เท่านั้น แต่ในสมัยก่อนผลตอบแทนเคยสูงถึง 10%
    • ความเสี่ยงต่ำ: เนื่องจากเงินฝากธนาคารมีกฎหมายรองรับ คุ้มครองเงินต้นที่ 1 ล้านบาท ต่อ 1 ธนาคาร
  • ตัวอย่างปัจจุบัน: ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ เงินฝากดิจิทัล ที่สามารถให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นได้ (เช่น สูงสุด 5.55% โดยมีเงื่อนไขเฉพาะ) เนื่องจากธนาคารลดต้นทุนด้านสถานที่และพนักงานได้ แต่ผู้ลงทุนควร อ่านเงื่อนไขให้ดี ก่อนตัดสินใจ


2. การลงทุนในหุ้นกู้ (Corporate Bonds)

เกิดจากความต้องการของทั้งสองฝ่ายที่รู้สึกว่าผลตอบแทนการฝากธนาคารน้อยเกินไป และดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารสูงเกินไป

  • กระบวนการ: บริษัทที่ต้องการเงินจะออก ตราสารทางการเงิน ที่เรียกว่า หุ้นกู้ ให้คนที่มีเงินเหลือโดยข้ามผ่านธนาคารไป
  • ผลตอบแทนและความเสี่ยง:
    • ผลตอบแทนปานกลาง: ผลตอบแทนที่ได้จะ มากกว่า การฝากธนาคาร (ตัวอย่างในเดือนกันยายนมีหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ยสูงสุดถึง 7.3%)
    • ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น: บริษัทที่ออกหุ้นกู้ ไม่ได้มีการันตี ว่าจะไปรอดหรือจะจ่ายหนี้ได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนสูญเสียเงินได้
    • การลดความเสี่ยง: ควรเลือกซื้อหุ้นกู้ที่มีการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งในระดับ A ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยงของการไม่จ่ายหนี้

3. การลงทุนในหุ้นสามัญ (Common Stock)

เกิดจากกลุ่มคนที่ต้องการเงิน (บริษัท) ไม่ต้องการจ่ายดอกเบี้ยเลย (ดอกเบี้ย 0) และนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่า 4%

  • กระบวนการ: บริษัทนำตัวเองเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และออกเป็นหุ้นสามัญ
  • สถานะนักลงทุน: นักลงทุนจะไม่ได้อยู่ในสถานะ เจ้าหนี้ แต่เข้ามาในฐานะ เจ้าของร่วม
  • ผลตอบแทนและความเสี่ยง:
    • ผลตอบแทนสูง: นักลงทุนได้รับผลตอบแทนเป็น เงินปันผล หากบริษัทมีกำไร และอาจได้ส่วนต่างจากการที่ราคาหุ้นงอกเงยไปหลายเท่าตัว (เช่น 5 เด้ง 10 เด้ง)
    • ความเสี่ยงสูง: เมื่อผลตอบแทนสูง ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน หากบริษัทบริหารแล้วไม่รอด นักลงทุนต้องพร้อมยอมรับความเสี่ยง
    • ตัวอย่าง: มีตัวอย่างพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่สามารถทำกำไรได้สูงถึง 23.11% ของเงินต้นจากการซื้อขายเพียงรายการเดียว

หลักการสำคัญทางการเงิน

  • ความเสี่ยงแปรผันกับผลตอบแทน: ไม่มีผลตอบแทนที่สูงโดยปราศจากความเสี่ยง หากเห็นโฆษณาในโซเชียลมีเดียที่จูงใจด้วยผลตอบแทนสูงมาก (เช่น 100%-200% ภายใน 1-2 เดือน) อาจเป็นมิจฉาชีพได้


เปิดบัญชี บล.บียอนด์ เทรดด้วย TradingView

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น

Banner_Post2