Banner_Head

Banner_Post

นักลงทุนรายใหญ่ รู้ได้อย่างไรว่าหุ้นถูกหรือหุ้นแพงด้วย Trade Master

 

นักลงทุนรายใหญ่ รู้ได้อย่างไร หุ้นถูกหรือหุ้นแพง


นักลงทุนรายใหญ่ รู้ได้อย่างไร หุ้นถูกหรือหุ้นแพงด้วย Trade Master

          เคยสงสัยกันไหมว่า หุ้นบางตัว PE 20 เท่า บอกว่าเป็นค่าปกติของอุตสาหกรรมนี้ แต่หุ้นบางตัวค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า กลับบอกว่าสูงเกินไป แล้วค่า PE ที่เหมาะสมของหุ้นแต่ละตัวควรอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่ วันนี้พี่แดงจะมาแชร์เครื่องมือที่นักลงทุนรายใหญ่ใช้ในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงกันครับ


1. เครื่องมือและแนวคิดหลัก

          วิดีโอนี้นำเสนอแนวคิดในการใช้ โปรแกรม Trade Master ของบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง (BLS) เพื่อวิเคราะห์มูลค่าหุ้นว่าถูกหรือแพง โดยเน้นที่เครื่องมือที่เรียกว่า PER Band.

  • Trade Master เหมาะสำหรับนักลงทุน: เนื่องจากมีเครื่องมือที่เน้นด้านการเงิน (Finance) มากกว่าการเทรด (Trading). หากเน้นการเทรดหรือกราฟที่สวยงามกว่า ยังคงแนะนำ TradingView, MT5, หรือ Steaming.
  • เงื่อนไขการใช้งาน: ผู้ที่ต้องการใช้งานโปรแกรม Trade Master ต้องสมัครกับบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง และต้องมีทุนในการเทรดประมาณ 500,000 บาท จึงจะได้รับการอนุมัติให้ใช้งานได้.
  • คุณสมบัติอื่น ๆ: Trade Master มีเครื่องมือสำหรับเทรด เช่น Trailing Stop ซึ่งสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุนอัตโนมัติ (เช่น 5% หรือ 10%) หรือเลื่อนจุดทำกำไรตามราคาหุ้นได้.


เปิดบัญชี บล.พาย เทรดหุ้นและ TFEX ด้วย MT5


2. การใช้ PER Band เพื่อประเมินมูลค่าหุ้น

          PER Band เป็นอินดิเคเตอร์ที่ช่วยให้นักลงทุนมองเห็นว่าราคาหุ้นปัจจุบันมีความสัมพันธ์อย่างไรกับค่า PE ที่เหมาะสมในอดีต

องค์ประกอบของ PE Band:

  • เส้นสีเขียว: คือ ค่ากลางของ PE ที่เหมาะสม ซึ่งคำนวณจากข้อมูลในอดีต.
  • เส้นขนาบข้าง (สีแดงและสีขาว): ถูกกำหนดให้ลดลงและเพิ่มขึ้นจากเส้นสีเขียว อย่างละ 20%.

หลักการประเมิน:

  1. หุ้นถูก (น่าซื้อ): หากราคากราฟหุ้น (โดยเฉพาะเมื่อรายได้และกำไรสุทธิสูงขึ้น) ตกลงมาต่ำกว่าค่า PE ที่เหมาะสมมาก.

    • ถ้าแตะ เส้นสีแดงด้านล่าง: หมายความว่าราคาหุ้นถูกกว่าค่า PE ที่ควรจะเป็นอยู่ 20% แล้ว.
    • ถ้าแตะ เส้นสีขาวด้านล่าง: หมายความว่าราคาหุ้นถูกกว่าค่า PE ที่ควรจะเป็นอยู่ 40% แล้ว ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเก็บสะสม (ซื้อ).
    • นักลงทุนระยะยาวจะมองว่าราคานั้นต่ำกว่า "มูลค่า" (Valuation) ที่แท้จริง และคาดหวังว่าราคาจะกลับไปที่เส้นกลางในที่สุด และยังได้รับเงินปันผลระหว่างทางด้วย.
  2. หุ้นแพง (น่าขาย): หากราคากราฟหุ้นพุ่งขึ้นไปสูงกว่าค่า PE ที่เหมาะสม.

    • ถ้าแตะ เส้นสีแดงด้านบน: หมายความว่าราคาสูงกว่าค่า PE ที่ควรจะเป็นอยู่ 20%.
    • ถ้าแตะ เส้นสีขาวด้านบน: หมายความว่าราคาสูงกว่าค่า PE ที่ควรจะเป็นอยู่ 40% แล้ว นักลงทุนระยะยาวจะทยอยขายหุ้นออก (รินขาย).



3. การวิเคราะห์หุ้นเติบโต (Growth Stock - GR)

          การดูว่าหุ้นมีการเติบโตหรือไม่ ให้ดูที่แนวโน้มของเส้น PE ที่เหมาะสม (เส้นสีเขียว) ร่วมกับกำไรสุทธิและรายได้.

  • หุ้น Growth Stock: คือ หุ้นที่มีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ (Net Profit).
  • เมื่อเป็นหุ้น Growth Stock เส้น PE ที่เหมาะสม (เส้นสีเขียว) จะสูงขึ้น ตามไปด้วย.
  • ตัวอย่างเช่น หุ้น KTB ซึ่งมีการเติบโตมาตั้งแต่ประมาณปี 2020-2021 และเติบโตมาแล้วกว่า 3 เด้ง โดยราคาจะวิ่งล้อไปกับ PE ที่เหมาะสมที่เพิ่มสูงขึ้น.

4. ตัวอย่างการวิเคราะห์หุ้นในวิดีโอ

          ยกตัวอย่างหุ้นเน้นหุ้นกลุ่ม SET HD (High Dividend):

  • BBL (ธนาคารกรุงเทพ): ในช่วงปี 2024 ราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าค่า PE ที่ควรจะเป็นมาก (ถูกกว่า 40%) ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรสูงขึ้น ทำให้เป็นช่วงที่เหมาะสมในการเก็บสะสม หากเป็นหุ้นปันผลดี. ค่า PE ที่เหมาะสมของ BBL ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 220.
  • AP (หุ้นในกลุ่ม SET HD): มีขึ้นมีลงตามรายได้ แม้ราคาจะอยู่ในค่า PE ที่เหมาะสม (เส้นสีเขียว) แต่ AP ไม่ใช่หุ้น Growth Stock เนื่องจากแนวโน้ม PE ตกต่ำลงตามอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์. อย่างไรก็ตาม หากซื้อตอนที่ราคาตกต่ำกว่า PE ที่แท้จริง ราคาจะกลับมาที่เส้นกลางเสมอ.
  • BAM: รายได้และกำไรสุทธิค่อนข้างทรงตัว. ขณะนี้ BAM มีราคาที่ต่ำกว่าค่า PE ที่เหมาะสม 
  • COM7: เป็นหุ้น Growth Stock ที่มีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง. ปัจจุบันราคา ตกต่ำลงมาก จนต่ำกว่า PE ที่เหมาะสม (PE ควรจะเป็น 42 แต่ราคา 22 บาท) ทำให้มีส่วนลด (discount) มาก ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการสะสมเพื่อหวัง Capital Gain ในระยะยาว.


เปิดบัญชี บล.บียอนด์ เทรดหุ้นและ TFEX ด้วย Tradingview

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น

Banner_Post2